ความสมบูรณ์แบบ (perfect) มีอยู่จริงหรือ?
- GoodNuff Life

- Feb 26
- 1 min read
หากยิ่งพยายามมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกแย่ลง อาจถึงเวลาเปลี่ยนแปลงตัวเอง

ในโลกปัจจุบัน เราอยู่กับความกดดันจากคนและสังคมรอบๆ ตัวให้เป็นคนดีขึ้น เก่งขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำหลายต่อหลายเรื่องไปพร้อมๆ กันได้ พยายามให้มากขึ้น ทำตัวให้น่ารักกว่าเดิม ลดหุ่นให้ผอมลง ดูอ่อนเยาว์กว่าเดิม เป็นพ่อเป็นแม่ที่ดีกว่านี้ เป็นลูกที่ดีกว่านี้ เป็นสามีหรือภรรยาให้ดีกว่าเดิม หรือเป็นเพื่อนที่ดีขึ้นไปอีก
สรุปคือ ไม่ว่าในชีวิตนี้จะทำอะไร เป็นใคร หรืออยู่ที่ไหนก็ตาม มันก็ไม่ค่อยจะดีพอซักที
แน่นอนว่า การทำสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้นถือเป็น growth mindset ที่ช่วยให้เราพัฒนาตัวเองเพื่อไปสู่เป้าหมายบางอย่างในชีวิต อย่างไรก็ตามการพยายามทำตามความคาดหวังที่ไม่มีวันสิ้นสุดแบบนี้ อาจนำไปสู่ภาวะสุดโต่งที่เรียกว่าการไขว่คว้าหาความสมบูรณ์แบบ (perfectionism) บางคนอาจเข้าใจว่าการพยายามไปสู่ความสมบูรณ์แบบข้อดี
ที่จริงแล้ว ความสมบูรณ์แบบเป็นการใช้ชีวิตที่อยู่ในโหมดเอาตัวรวด (survival mode) เป็นกลไกจากจิตใต้สำนึกที่บอกว่าสถานการณ์รอบตัวไม่ปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา จึงต้องปรับตัวให้อยู่ให้รอดด้วยการพยายามมากขึ้นๆ ห้ามทำอะไรผิดพลาด ห้ามแสดงจุดอ่อนหรือ ความอ่อนไหวใดๆ เฆี่ยนตีหรือทำร้ายจิดใจตัวเองด้วยการพูดในเชิงลบกับตัวเองทุกครั้งที่สิ่งต่างๆ หรือสถานการณ์ใดๆ ไม่เป็นไปตามที่คาด
ที่แปลกคือ ยิ่งเราพยายามจะสมบูรณ์แบบมากเท่าไหร่ จะยิ่งเห็นว่าความไม่ดีพอมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งต้องทำมากขึ้น พยายามมากขึ้น ยิ่งพยายามยิ่งรู้สึกว่าไม่พอ ไม่ทัน ห่างไกลเป้าหมายขึ้นไปทุกที ยิ่งบอกตัวเองว่าทำไมทำได้แค่นี้ ไม่ได้เรื่องเลย การติดอยู่ในวงจรที่ไม่มีวันสิ้นสุดแบบนี้ ช่างเหนื่อยแสนสาหัสจริงๆ ความพยายามต่างๆ ที่ทำมาตลอดนั้น ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกพึงพอใจเลย แบบนี้มันขาดทุนชัดๆ
อ่านถึงตรงนี้ ลองหยุด - หายใจลึกๆ - และคิดทบทวน
ข่าวดีคือ เมื่อสังเกตเห็นแล้วว่าตัวเองกำลังพยายามไปสู่ความสมบูรณ์แบบ เราก็สามารถเปลี่ยนทิศทางให้ตัวเองได้
ใครกันแน่ที่คอยผลักเรา (เข้าสู่วงจรของความสมบูรณ์แบบ)
ทุกครั้งที่เราเริ่มรู้ตัวว่า มีแรงผลักดันอะไรบางอย่างกำลังบอกว่าที่เป็นหรือทำอยู่ยังไม่ดีพอนะ ต้องพยายามให้มากขึ้นหรือให้สมบูรณ์แบบกว่านี้ มันเป็นไปได้ว่าเสียงเรียกร้องเหล่านั้นไม่ได้มาจากความต้องการของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใจมันไม่ได้รู้สึกดีไปด้วย ยิ่งพยายามทำมากขึ้นยิ่งรู้สึกทุกข์ทรมาณ ถึงแม้เราจะเชื่อว่ามันเป็นความต้องการของตัวเองก็ตาม ก็เป็นได้ว่ามันคือความต้องการของคนอื่นที่เราได้ซึมซับมาโดยไม่รู้ตัว จนกลายเป็นความเชื่อของตัวเองในที่สุด
การแยกแยะหาที่มาของความเชื่อพวกนี้เป็นกระบวนการที่ค่อนข้างซับซ้อน เริ่มจากการนึกย้อนไปว่าเอ...เราเคยได้ยินใครพูดถึงความต้องการหรือความเชื่อเหล่านี้บ้าง แล้วเขาเหล่านี้ได้เข้ามาสิงอยู่ในจิตใต้สำนึกของเราตั้งแต่เมื่อไร อย่างไร จนกลายมาเป็นเหมือนผู้บัญชาการอยู่ในสมองของเราเฉยเลย ซึ่งกระบวนการแยกแยะหาต้นตอนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในการทำจิตบำบัด หากต้องการที่จะค้นหาให้ลึกลงไปถึงต้นตอจริงๆ
เบื้องต้น การเริ่มหยุดวงจรของความสมบูรณ์แบบที่ว่านี้ ทำได้ด้วยการสังเกตความคิดตัวเอง
โดยเฉพาะเวลาเกิดความผิดพลาด เวลาที่อะไรๆ ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง หรือเวลาที่รู้สึกถึงแรงผลักดันบางอย่างว่าที่ทำอยู่หรือเป็นอยู่ยังไม่ดีพอ ถ้าการพูดคุยภายในใจเป็นไปในทางลบหรือในเชิงตำหนิตัวเอง ลองนึกดูว่าเคยได้ยินคำพูดเหล่านี้จากใครที่ไหนมาก่อน มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงว่าสิ่งที่คิดหรือพูดกับตัวเองอยู่ไม่ได้มาจากความเชื่อจริงๆ ของตัวเอง แต่มาจากคนอื่นที่เคยพูดหรือทำกับเราในแบบที่ทำให้รู้สึกว่ายังไม่ดีพอ หรือยังต้องพยายามมากขึ้น ซึ่งมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรที่จะยังคงยึดคำพูดหรือความคิดเหล่านี้ต่อไป
ถ้าภายในใจรู้สึกเป็นทุกข์ แสดงว่าความคิดและความเชื่อเหล่านี้ไม่ใช่ตัวเรา
ไม่ได้แปลว่าเราต้องคิดและเชื่ออะไรที่ทำให้มีความสุขเท่านั้น แต่เมื่อความพยายามที่มากขึ้นกลับนำไปสู่การตำหนิตัวเองหรือความทุกข์ทรมาณใจ นั่นแสดงว่าพยายามไปก็ไม่ได้มีประโยชน์หรือช่วยอะไรเลย ในทางกลับกัน ความพยายามที่ใส่ไปกับอะไรซักอย่างควรนำไปสู่ความรู้สึกด้านบวกต่อตัวเอง เช่นภูมิใจ หรือสบายใจ ไม่ว่าผลลัพธ์ที่ได้จะออกมาแบบไหนก็ตาม
ลองฝึกสังเกตบทสนทนาที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของตัวเอง และถ้าการพูดคุยเริ่มเป็นไปในเชิงลบ ลองเลือกที่จะหยุดคิดต่อและปล่อยมันไป เพื่อเป็นการไม่ให้มันมีพื้นที่อาศัยอยู่ในใจต่อไป บางครั้งอาจทำยาก โดยเฉพาะบทสนทนาเชิงลบที่เรายึดมันไว้เนิ่นนานแล้ว จนมันกลายเป็นความเชื่อและตัวตนนึงของเรา ก็ไม่เป็นไร เพียงรับรู้ว่ามีบทสนทนาเหล่านี้เกิดขึ้นในใจก็ดีพอแล้วในขั้นนี้ จนวันนึงเราอาจจะเบื่อหน่ายและเปลี่ยนบทสนทนานี้ไปเอง คล้ายๆ กับเวลาที่เรารู้สึกเบื่อหน่ายกับการคบเพื่อนที่มักจะคอยวิพากย์วิจารณ์และคิดกับเราในทางลบอยู่เรื่อยๆ จนต้องถอยห่างออกมาจากเขา
ในขณะเดียวกันก็ลองฝึกที่จะใจดีกับตัวเอง ตบไหล่ตัวเองเบาๆ เพื่อให้กำลังใจในทุกความพยายามที่เล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าคนอื่นจะพูดกับเรายังไงก็ตาม ให้จำไว้ว่า เสียงของตัวเองสำคัญที่สุด คำพูดของคนอื่นเป็นเพียงความคิดเห็นของพวกเขา ไม่ใช่ของตัวเราเลยซักนิด พวกเขาสามารถแชร์ความคิดเห็นได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าความคิดเห็นของพวกเขาคือความจริงที่เราต้องเชื่อหรือทำตาม
ถึงเวลาหรือยังที่จะบอกตัวเองว่า พอกันทีกับการที่จะต้องทำให้ดียิ่งขึ้นเพื่อตอบโจทย์ของคนอื่น หยุดไขว่คว้าความสมบูรณ์แบบที่ไม่ได้มีอยู่จริง เพราะมันเป็นเพียงแค่เงาของใครบางคนที่กำลังสิงอยู่ในความคิดของเราเท่านั้นเอง



Comments